คดีนี้ไม่ธรรมดา เมื่อเจอ“มดล้มยักษ์ ”ศาล จัดหนักให้ยกฟ้อง นายธรรมณัฐ แก้วบุญส่ง กรณีบริษัทปล่อยเงินกู้ ‘ศรีสวัสดิ์’ ฟ้องเรียกเงินกว่า 500,000 บาท หลังพยาน หลักฐาน และผลพิสูจน์ชี้ชัดว่า บริษัทฯใช้เอกสารปลอม.!! อย่างนี้ต้องยอมไม่ได้ ต้องแฉ?บรรดาบริษัทฯที่เอาเปรียบผู้บริโภค คิดเล็กคิดน้อย มีค่าทวงถาม มีค่าติดตาม รวมไปถึงดอกเบี้ยรายวัน..ต้องถามหา“แบงก์ชาติ” ตามทันกล-โกงไหม?
เรื่องเล่าวันนี้ที่ 14 พฤศจิกายน 2566 เจอคดีนี้ “ราชสีห์หลับไม่ลง”เมื่อ นายภัทรกร ทีปบุญรัตน์ เจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้บริโภค แบบเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service) สภาผู้บริโภค ได้ออกมารายงานความคืบหน้าของคดี ว่า สภาผู้บริโภคได้ช่วยเหลือ“ผู้บริโภค”คือนายธรรม ณัฐ แก้วบุญส่ง ที่มีปัญหาถูกบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด ฟ้องร้องเรื่องผิดสัญญาเงินกู้สินเชื่อจำนำโฉนด แต่จากการตรวจสอบกลับพบว่าเอกสารสัญญาที่บริษัทฯ นำไปเป็นหลักฐานในชั้นศาล เห็นว่ามีความผิดปกติหลายประการ เช่น 1) วันที่ไม่ตรงกับวันที่กู้ 2) บริษัทที่ยื่นฟ้องเป็นคนละบริษัทที่ผู้เสียหายยื่นจดจำ-นอง กล่าวคือ ผู้เสียหายขอกู้เงินกับบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด แต่กลับถูกบริษัท เงินทุน ศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้องร้อง 3) ลายเซ็นในเอกสารสัญญาเป็นลายเซ็นปลอม และ 4) ดอกเบี้ยที่ระบุในสัญญาไม่ตรงกับเอกสารจดจำนอง
ดังนั้นทางสภาผู้บริโภค จึงนิ่งดูดายไม่ได้…ได้เข้าไปช่วยเหลือผู้เสียหาย ให้คำปรึกษา แนะนำเรื่องการดำเนินคดี ไปเป็นพยานและช่วยนำสืบคดีในชั้นศาล รวมทั้งให้ข้อมูลต่อศาล เกี่ยวกับพฤติการณ์ของบริษัท ที่เอาเปรียบผู้บริโภค ซึ่งมีผู้เสียหายอีกหลายรายที่ถูกฉ้อโกงด้วยพฤติการณ์ในลักษณะเดียวกัน เช่น การทำสัญญาโดยไม่ส่งมอบคู่ฉบับ ส่งมอบเงินกู้ไม่ครบตามที่ระบุไว้ในสัญญา ให้ผู้บริโภคเซ็นสัญญาเปล่า และ เรียกเก็บดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด สุดท้ายศาลนั่งคิดวิเคราะห์แล้ว มีคำวินิจฉัยว่าเอกสารที่บริษัทฯ นำมาฟ้องผู้บริโภคเป็น “เอกสารปลอมๆจริงๆๆด้วย ศาลเลยพิพากษายกฟ้อง..ฮะฮ่า..!!
เมื่อความยุติธรรมยังมีให้เห็น “ ผู้บริโภคทั้งหลาย” ที่ประสบปัญหาในลักษณะเดียวกัน ก็ส่งเสียง อยากให้เข้ามาร้องเรียนที่สภาผู้บริโภค เพราะถือว่า เรายังมี สภาผู้บริโภคที่พึ่งได้ ในยามนี้ และคดีนี้ ทาง สภาผู้บริโภคยังได้ประสานงานไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ และ กำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อประกอบสำนวนส่งให้ ดีเอสไอ ดำเนินคดีต่อไป ก็จะสามารถใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนที่มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้นในชั้นศาล
ด้าน นายธรรมณัฐ แก้วบุญส่ง ผู้บริโภคที่เป็นผู้ชนะคดีดังกล่าว ได้เล่าถึงพฤติกรรมของบริษัทว่า เมื่อช่วงเดือนมกราคม 2563 ตัวเองได้ไปขอสินเชื่อกับบริษัทศรีสวัสดิ์ สาขาพระประแดง โดยพนักงานนำแบบฟอร์มเปล่า ที่ยังไม่ได้ลงรายละเอียดใด ๆ มาให้เซ็นต์ จากนั้นได้เดินทางไปสำนักงานที่ดิน เพื่อทำสัญญาจดจำนอง ยอดเงิน 400,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ระยะเวลาตามสัญญา 1 ปี ซึ่งพนักงานได้เก็บคู่สัญญา และ หนังสือจดจำนองกลับไป โดยให้เหตุผลว่าต้องส่งเอกสารเข้าสำนักงานใหญ่ หากสำนักงานใหญ่ดำเนินการเรียบร้อยจะส่งคืนให้ ตกเย็นของวันเดียวกันมีเงินโอนเข้าบัญชีจากบริษัทดังกล่าว จำนวน 358,733 บาท ซึ่งไม่ครบตามจำนวนที่ระบุในสัญญา โดยพนักงานแจ้งว่าเงินส่วนที่หายไปเป็นค่าธรรมเนียมในการดำเนินการ หลังจากวันที่เซ็นต์ สัญญา ได้พยายามทวงถามสัญญาคู่ฉบับมาโดยตลอด จนกระทั่งปี 2565 ได้รับคำฟ้อง จากศาลจังหวัดสมุทรปราการ แต่ไฉนเลย โจทก์ที่ฟ้องกลับไม่ใช่บริษัทที่ไปขอสินเชื่อ แต่เป็นอีกบริษัทหนึ่งซึ่งอยู่ในเครือเดียวกัน อ้าวแล้วไง..!และหลักฐานที่ใช้ในการฟ้องก็คือ สัญญาเงินกู้ยอดเงิน 450,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 22 ต่อปี ซึ่งไม่ตรงกับหนังสือสัญญาจดจำนอง และมียอดตามคำฟ้องรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 587,361 บาท โดยสัญญาดังกล่าวลงวันที่ 21 กันยายน 2564 “เมื่อได้รับหมายศาล นาย ธรรมณัฐ เลยตัดสินใจว่าจะสู้คดีจึงปรึกษาทนาย ได้รับคำตอบว่าเราเสียเปรียบ เพราะว่าไม่มีเอกสารอะไรเป็นหลักฐานเลย ตอนนั้นรู้สึกมืดแปดด้าน และคิดว่าเราสู้เขาไม่ได้แน่ ๆ เมื่อเห็นว่ามันไม่ยุติธรรม ที่โดนแบบนี้ ประกอบกับ เห็นข่าวที่สภาผู้บริโภคออกมาแฉกลโกงของบริษัทจดจำนองบ้าน ซึ่งตรงกับสิ่งที่กำลังเผชิญทั้งหมด ใจจึงมาและมีแรง เข้าไปปรึกษาและเจ้าหน้าที่ สภาผู้บริโภค ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี รวมทั้งเข้าไปเป็นพยานในชั้นศาล และ นำข้อมูลเองร้องเรียนต่าง ๆ มาช่วยยืนยัน สำหรับเรื่องเอกสารปลอม ได้มีการส่งเอกสารไปตรวจสอบที่หน่วยพิสูจน์หลักฐาน ทำให้ท้ายที่สุด ศาลวินิจฉัยว่าบริษัทฯ ใช้เอกสารปลอม และ พิพากษายกฟ้อง
เรื่องนี้ ก็ขออยากฝากไปถึง ธนาคารแห่งประเทศไทย ควรใส่ใจ และ มีบทลงโทษ อย่างหนัก เช่น กรณีบริษัทศรีสวัสดิ์นี้ ควรยกเลิกใบอนุญาตประกอบธุรกิจ เพื่อเป็นตัวอย่าง “ตัดคอเสือให้ลิงดู จะได้รู้ว่า แบงก์ชาติตื่นแล้วน่ะจ๊ะ จะบอกไห่..และหากแบงก์ชาติ มีอำนาจแล้วไม่จัดการขั้นเด็ดขาด ประชาชนอีกจำนวนมากก็จะมาครวญเพลง “ดูมันทำๆๆ”…ให้ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวา-ทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ฟังฝังใจกันไปเลยน่ะครับ ส่วน สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) ได้ออกมาช่วยเลือประชาชน จากบริษัทเงินกู้ต่างๆที่กินเลือดบนหัวกุ้ง..!! ต้องขอตบมือดังๆให้ครับ.อย่างน้อย “ปิดทองหลังพระ” ก็คือ สร้างความดีไม่มีสูญ..สาธุๆๆ
ทอมมี่ พสุวัชร์