เมื่อวันที่ 6-7 พฤศจิกายน 2568 — สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับมหาวิทยาลัยนเรศวร และสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย จัด การประชุมวิชาการพืชสวนแห่งชาติ ครั้งที่ 22 (The 22nd National Horticultural Congress 2025) ระหว่างวันที่ 6 – 7 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้แนวคิด “พืชสวนไทยก้าวไกลด้วยเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำและ AI” เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพืชสวนไทยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตอบโจทย์เศรษฐกิจฐานชีวภาพ (BCG Model) และเกษตรอัจฉริยะในยุคดิจิทัล โดยการสนับสนุนของศูนย์รวม 5 ศูนย์ ประกอบด้วย 1.ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการผลิตไม้ดอกไม้ประดับ
2.ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลไม้
3.ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านเมล็ดพันธุ์ผักของประเทศไทย
4.ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพจุลินทรีย์เพื่อการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร และ
5. ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญทางด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร
ณ โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี ภายในงานได้รับเกียรติจากดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการประชุม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.เภสัชกรหญิง กรกนก อิงคนินันท์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยนเรศวร, คุณกนกรัตน์ สิทธิพจน์ รักษาการนายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย และ รองศาสตราจารย์ ดร.พีระศักดิ์ ฉายประสาท ผู้อำนวยการศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลไม้ เข้าร่วมในพิธีขับเคลื่อนงานวิจัยพืชสวนไทยด้วยเทคโนโลยีแม่นยำและปัญญาประดิษฐ์
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง กล่าวว่า การประชุมในปีนี้ วช. มุ่งส่งเสริมให้เกิดการบูรณาการงานวิจัยและนวัตกรรมด้านพืชสวนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลงานวิจัยสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ทั้งในมิติวิชาการ เศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) และการใช้ AI เกษตร (Agricultural AI) ที่ช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
ผอ.วช. กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมครั้งนี้ยังเป็นเวทีสำคัญสำหรับนักวิจัย นักวิชาการ เกษตรกร และผู้ประกอบการได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ และต่อยอดนวัตกรรม เพื่อยกระดับ อุตสาหกรรมพืชสวนไทย ให้มีความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติเวทีวิชาการแห่งชาติรวมผลงานวิจัยกว่า 130 ชิ้น
ศาสตราจารย์ดร.กรกนก อิงคนินันท์ กล่าวถึงรายละเอียดของงานว่า การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6–7 พฤศจิกายน 2568 โดยมีผลงานวิจัยที่นำเสนอรวมกว่า 134 ชิ้น ครอบคลุม 6 สาขาหลัก ได้แก่ ไม้ผล, ไม้ดอกไม้ประดับ, พืชผัก, เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว, เทคโนโลยีชีวภาพ และเกษตรอัจฉริยะ
นอกจากนี้ ยังมีการบรรยายพิเศษจาก ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในและต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน นิวซีแลนด์ และญี่ปุ่น ที่มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์และองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ การใช้ระบบเซนเซอร์ เกษตรข้อมูล (Data-driven Farming) และ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในภาคพืชสวน
สมาคมพืชสวนฯ หนุนไทยเป็นศูนย์กลางความรู้พืชสวนอาเซียน ขณะที่ คุณกนกรัตน์ สิทธิพจน์ รักษาการนายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การประชุมวิชาการพืชสวนแห่งชาติเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมด้านพืชสวนของไทย โดยสมาคมมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางองค์ความรู้ด้านพืชสวนในภูมิภาคอาเซียน” ผ่านการบูรณาการเทคโนโลยีและ AI เข้ากับการผลิตเชิงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรไทย พืชสวนไทยยุคใหม่ ใช้นวัตกรรมลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต สร้างความยั่งยืน
ด้านรองศาสตราจารย์ดร.พีระศักดิ์ ฉายประสาท กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมวิชาการพืชสวนแห่งชาติเริ่มจัดครั้งแรกเมื่อปี 2544 และได้รับความร่วมมืออย่างต่อเนื่องจากภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมงานวิจัยด้านพืชสวนให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรมยุคใหม่
ปีนี้ภายใต้หัวข้อ “พืชสวนก้าวไกลด้วยเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำและ AI” มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ เช่น ระบบวิเคราะห์ข้อมูลเกษตร (Smart Sensor), ระบบควบคุมสภาพแวดล้อมในโรงเรือน และหุ่นยนต์เก็บเกี่ยวผลผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยว และยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรไทยสู่ตลาดโลกสร้างเครือข่ายนักวิจัย-เกษตรกร-ภาคเอกชน เพื่ออนาคตพืชสวนยั่งยืนการประชุมวิชาการพืชสวนแห่งชาติ ครั้งที่ 22 จึงไม่เพียงเป็นเวทีทางวิชาการเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างนักวิจัย เกษตรกร ผู้ประกอบการ และหน่วยงานรัฐ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อน “พืชสวนไทยสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำและ AI” สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (SDGs) และยุทธศาสตร์ BCG Economy Model








